JSP เปิดแผนธุรกิจปี 2567 ตั้งเป้ารายได้โตก้าวกระโดดจาก 5 ธุรกิจ ตั้งงบซื้อกิจการปีละ200 ลบ. เดินหน้าสู่ผู้นำธุรกิจสุขภาพครบวงจร
JSP ตั้งเป้ารายได้ปี 2567 แตะ 750 ล้านบาท เปิดแผนธุรกิจโตแบบออร์แกนิกส์และควบรวมกิจการ ตั้งงบซื้อธุรกิจเสริมทัพปีละ 200 ล้านบาท ปีละ 2 ดีล พร้อมเผยที่มารายได้ปัจจุบันจาก 5 ธุรกิจครอบคลุมต้นน้ำยันปลายน้ำ เริ่มจาก 1. JSP โรงงานผลิตยาและอาหารเสริมมาตรฐานส่งออก 2. เกรซ วอเทอร์ เมด ธุรกิจน้ำยาฟอกไตและบริษัทลูกติดตั้งระบบน้ำให้ศูนย์ฟอกไต 3. CDIP บริษัทรับจ้างวิจัยและพัฒนาเชิงวิชาการที่ทันสมัยแถวหน้าของไทย 4. แคร์ซูติก โรงงานผลิตไซส์เล็ก รับผลิตอาหารเสริมทั้งสำหรับคนและสัตว์เลี้ยง เครื่องสำอาง งบเริ่มต้นเบาๆเพียง 100,000 หนุนคนรุ่นใหม่สร้างแบรนด์ง่ายขึ้น 5. สุภาพโอสถ สหคลินิก ธุรกิจปลายน้ำ บริการสังคมและเป็นช่องทางให้เข้าถึงสินค้า Own Brand
นายสิทธิชัย แดงประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (JSP) เปิดเผยว่าปี 2567 JSP ยังคงเดินตามแผนระยะยาว 5 ปี ที่วางไว้ในการก้าวสู่เบอร์หนึ่งของตลาดสุขภาพครบวงจร โดยจะเป็นผู้ให้บริการที่มีธุรกิจครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ คือ เป็นผู้วิจัยและพัฒนายกระดับพืชท้องถิ่นของไทยไปสู่การคิดค้นสูตรยาใหม่ๆ กลางน้ำ ด้วยการเป็นโรงงานผลิตที่ได้มาตรฐานระดับโลก และปลายน้ำ คือ การมีช่องทางกระจายสินค้าและบริการสู่ผู้บริโภคอย่างทั่วถึงในวงกว้าง โดยกลยุทธ์ในการเติบโตของ JSP จะเติบโตแบบควบคู่ทั้งแบบออร์แกนิกส์ คือ เติบโตจากภายใน และแบบการควบรวมกิจการ ซึ่ง JSP ได้วางเป้าหมายว่าในแต่ละปีจะเดินหน้าควบรวมกิจการต่อเนื่องปีละ 2 กิจการ มีงบประมาณสำหรับควบรวมกิจการปีละ 200 ล้านบาท เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจและเดินไปถึงเป้าหมายตามที่วางไว้
ปัจจุบัน JSP ดำเนินธุรกิจภายใต้ 5 บริษัท ดังนี้
1. JSP ดำเนินธุรกิจพัฒนา ผลิตและจำหน่ายยาแผนปัจจุบัน ยาแผนโบราณ ผลิตภัณฑ์สมุนไพรและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแบบครบวงจร โดยมีโครงสร้างรายได้มาจากทั้งสินค้าที่เป็น Own Brand และรายได้จากการรับจ้างผลิต หรือ OEM ปัจจุบันรายได้ทั้ง 2 ด้านมีสัดส่วนอยู่ที่ 40 % และ 60 % ทั้งนี้ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาธุรกิจทั้ง 2 ด้านเติบโตอย่างมาก ทั้งจากเทรนด์การดูและสุขภาพเชิงป้องกัน และเทรนด์การเติบโตของการชอปปิ้งออนไลน์ จึงส่งผลให้ทั้งสินค้า Own Brand และสินค้า OEM ได้รับการตอบรับอย่างดี ทำให้ปัจจุบัน JSP ได้เพิ่มกำลังการผลิตสู่ไลน์ที่ 2 สามารถรองรับงานผลิตได้มากขึ้นถึง 100 %
2.บริษัท เกรซ วอเทอร์ เมด จำกัด (GWM) หลังจากเข้าลงทุน โดยถือหุ้นในสัดส่วน 52.8% ดำเนินธุรกิจโรงงานผลิตน้ำยาล้างไต (A-B Solution) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำยาสำหรับผู้ป่วยฟอกไต เครื่องฟอกไตเทียม, เข็มต่อสายฟอกเลือด และอุปกรณ์การแพทย์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเลือด นอกจากนี้ GWM ยังถือหุ้นใน บริษัท วารี เมดิคอล จำกัด ดำเนินธุรกิจการติดตั้งระบบน้ำ และจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องกรองน้ำและติดตั้งระบบน้ำบริสุทธิ์ให้กับศูนย์ฟอกไตของ GWM และลูกค้าทั่วไป การดำเนินธุรกิจของ 2 บริษัทนี้ จะส่งผลให้ JSP มีธุรกิจที่เกี่ยวกับ การบำบัดรักษาไตอย่างครบวงจร เช่น การเปิดศูนย์ฟอกไต ซึ่งแนวโน้มผู้ป่วยที่ต้องฟอกไตเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 20,000 ราย
3.บริษัท ซีดีไอพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ CDIP ถือหุ้นโดย JSP 65% ประกอบธุรกิจด้านการรับจ้างวิจัยเชิงวิชาการในห้องปฏิบัติการ รับจ้าง ทดสอบและวิเคราะห์ผลทางวิทยาศาสตร์ รวมถึงจัดงานฝึกอบรมและสัมมนา และส่วนงานให้คำปรึกษาการยื่นขอทุนวิจัยด้านการวิจัยและพัฒนา เป็นธุรกิจต้นน้ำสำหรับการนำไปต่อยอดด้านการผลิตยา อาหารเสริม รวมถึงเครื่องสำอางสำหรับคนและสัตว์ ซึ่งมีจุดเด่น คือ ธุรกิจนี้ยังมีผู้เล่นน้อยรายในประเทศไทย จึงถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในอนาคตของ JSP นอกจากนี้ CDIP ยังได้เข้าลงทุนใน บริษัท เมดิส คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MEDIS) ถือเป็นธุรกิจปลายน้ำอีกหนึ่งด้านที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะไม่ใช่เพียงแต่เป็นตู้จำหน่ายยาอัตโนมัติเท่านั้น แต่เป็นธุรกิจแพลตฟอร์มจำหน่ายยา 24 ชั่วโมง (24-Hour Medicine Dispenser Platform) ทำการจำหน่ายยาสามัญประจำบ้าน ผลิตภัณฑ์สุขภาพและ เครื่องมือแพทย์เบื้องต้น ผ่านตู้จ่ายยาอัตโนมัติแบบครบวงจรรายแรกในไทย ซึ่งภายใน 5 ปีตั้งเป้าจะติดตั้งให้ครบ 1,000 ตู้
4.บริษัท แคร์ซูติก จำกัด บริษัทย่อยที่ JSP จัดตั้งขึ้น โดยถือหุ้นในสัดส่วน 100% เป็นบริษัทที่ให้บริการด้านอินโนเวชั่น เซ็นเตอร์ ที่มีทั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา รวมถึงรับจ้างผลิต (OEM) ผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องสำอาง รวมถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับคน และสำหรับสัตว์เลี้ยง ที่ครอบคลุมทั้งสัตว์เลี้ยงภายในบ้าน เช่น สุนัข และแมว สัตว์เลี้ยงเพื่อการแข็งขันและประกวด เช่น ไก่ชน ม้าแข่ง นกสวยงาม เป็นต้น โดยไลน์ผลิตของ แคร์ซูติกจะมีขนาดเล็กกว่า JSP เพื่อรองรับกลุ่มแม้ค้าออนไลน์และเน็ตไอดอลที่ต้องการเข้ามาทดลองตลาดการสร้างแบรนด์ด้วยตนเองภายใต้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 100,000 บาท
5. สุภาพโอสถ สหคลินิก ถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจปลายน้ำใหม่ล่าสุดในกลุ่ม JSP ที่ได้นำร่องเปิดสาขาแรกไปเมื่อปลายปี 2566 เพื่อรองรับชุมชนโดยรอบที่อยู่ใกล้ JSP สำนักงานใหญ่ ให้เข้าถึงการรักษาด้วยแพทย์แผนไทย ใน กลุ่มผู้ที่มีปัญหาโรคเรื้อรัง เบาหวาน ความดัน กล้ามเนื้อ ลมในท้อง ปวดตามข้อ ผิวพรรณ และภูมิแพ้ ซึ่งบริษัทตั้งเป้าเปิดให้ครบ 10 สาขาภายใน 5 ปี เพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งให้คนทั่วไปได้เข้าถึงและทดลองใช้ผลิตภัณฑ์สุภาพโอสถสินค้า Own Brand ของ JSP
“จากการมีธุรกิจในมือค่อนข้างครบวงจร ทำให้ JSP คาดว่าจะมีรายได้รวมเพิ่มขึ้นปีละอย่างน้อย 200 ล้านบาท ในปี 2567 นี้รายได้รวมน่าจะไม่ต่ำกว่า 750 ล้านบาท และในอนาคตหากสามารถควบรวมกิจการได้อีกเป้าหมายรายได้อาจจะเพิ่มขึ้นได้มากกว่าปีละ 200 ล้านบาท” นายสิทธิชัย กล่าว