“A LUSH LIFE, WE BELIEVE…” ปรัชญาและความเชื่อมั่นอันแรงกล้าของแบรนด์ LUSH
LUSH (ลัช) แบรนด์เครื่องสำอางทำมือจากประเทศอังกฤษ ที่มีผลิตภัณฑ์โด่งดังมากมาย ไม่ว่าจะเป็น บาธบอมบ์ (Bath Bomb) ที่ทำฟองแบบก้อน (Bubble Bar) แชมพูก้อน (Shampoo Bar) น้ำยาบ้วนปากแบบเม็ด (Toothy Tabs) และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ท่ามกลางเทรนด์ผลิตภัณฑ์ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มากมาย
คุณฟิลลิป อเล็กซานเดอร์ (Philip Alexander) 1 ในผู้บริหาร LUSH Thailand (ลัช ประเทศไทย) เล็งเห็นว่า ลัช ประเทศไทย มีความเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร จึงได้นำ ลัช เข้ามาเปิดตัวครั้งแรก ณ ประเทศไทย ที่ ห้างสยามเซ็นเตอร์ ชั้น G เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ.2559 ซึ่งเป็นร้าน ลัช สาขาแรกในประเทศไทย และยังเป็นสาขาสัญลักษณ์ (Flagship Store) อีกด้วย
หลังจากการเปิดตัวในเดือนธันวาคมภายในปีนั้น LUSH ได้กลายมาเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่สร้างความประทับใจให้กับสังคมคนกรุงที่ใส่ใจในสุขภาพ และมีไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย “ในประเทศไทยเรามีฐานแฟนคลับของลัช หรือที่เราเรียกว่า ‘ชาวลัชชี่’ กลุ่มคนที่ชื่นชมแบรนด์ของเราค่อนข้างเหนียวแน่น เมื่อเราเข้ามาเปิดสาขาในเมืองไทยจึงทำให้เราได้รับเสียงตอบรับอย่างท่วมท้น จากชาวลัชชี่ ที่เฝ้ารอคอย”
“เมื่อเราเปิดสาขาแรกได้ไม่นาน กระแสการตอบรับดีจนต้องมีการทยอยขยายสาขาเพิ่มขึ้นตามลำดับ ถือว่ายอดขายในปีแรกเกินกว่าเป้าที่ตั้งไว้สูงมากๆ” คุณเพ็ญพิชญาญ์ อเล็กซานเดอร์ (Penpitchaya Alexander) อีก 1 ในผู้บริหาร LUSH Thailand กล่าว
ผลิตภัณฑ์ LUSH มีชื่อเสียงในต่างประเทศจากผลิตภัณฑ์สำหรับการแช่น้ำ การทำการตลาดในเมืองไทยที่เป็นประเทศที่ไม่มีวัฒนธรรมการแช่น้ำ LUSH จึงเป็นเรื่องที่ท้าทาย และแบรนด์ต้องทำการสื่อสารกับกลุ่มผู้บริโภคคนไทยมากขึ้นว่า LUSH ไม่ได้มีแค่ผลิตภัณฑ์แช่น้ำ อย่างเช่น Bath Bomb หรือ Bubble Bar เท่านั้น เรามีผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่หลากหลาย สามารถใช้ได้ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า น้ำหอมของ LUSH ก็เป็นอีก 1 ในกลุ่มของผลิตภัณฑ์ที่ลัชชี่ชื่นชอบและให้ความสนใจกันเป็นอย่างมาก เนื่องจากความเป็นเอกลักษณ์ทางกลิ่น รวมไปถึงรูปลักษณ์ที่เข้ากับทุกยุคทุกสมัย นอกจากนี้ ไม่ว่าจะเพศอะไร หรืออยู่ในช่วงอายุเท่าใด LUSH ก็ได้ทำการคิดค้นและออกแบบผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย เพื่อเป็นการรองรับทุกความต้องการของทุกคน รวมไปถึงมีเป้าหมายที่จะสร้างการปฏิวัติวงการเครื่องสำอางและเป็นที่หนึ่งในเครื่องสำอางทุกหมวดหมู่ ตามแผนการเครื่องสำอางลับสุดยอด (Secret LUSH Master Plan) ของคุณมาร์ค คอนสแตนติน (Mark Constantine) 1 ในผู้ก่อตั้ง LUSH
สำหรับในประเทศไทยนั้น ผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงมากๆ และลัชชี่ให้ความสนใจมาอย่างต่อเนื่อง คือ มาสก์หน้าสด (Fresh Face Masks) ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มที่ขายดีที่สุด ตั้งแต่ LUSH ประเทศไทยเปิดให้บริการมา จนทำให้ LUSH ประเทศไทยต้องเปิด “ห้องครัวลัช” (LUSH Kitchen) เพื่อทำการผลิตภัณฑ์มาสก์หน้าสดและเคล็นเซอร์สดในประเทศไทย ตอบสนองความต้องการลัชชี่ที่ต้องการใช้ผลิตภัณฑ์สดใหม่มากที่สุด และมีอายุการใช้งานได้นานที่สุด จากฝีมือการผลิตของผู้ผสมผลิตภัณฑ์ชาวไทย (Compounder) นอกจากนี้ยังมีการผลิตมาสก์ตาแบบสด (LUSH’s Eye Pads) ที่มีหลากหลายสูตรให้ลัชชี่ได้เลือกสรร รวมไปถึงมาสก์หน้าแบบเจลลี่ (Jelly Masks) ที่แม้ว่าในปัจจุบันจะไม่จำหน่ายผลิตภัณฑ์นี้แล้ว แต่ลัชชี่ก็ให้ความสนใจเป็นอย่างมากในขณะนั้นเช่นกัน
LUSH มีความชัดเจนในเรื่องของจริยธรรมอยู่ 6 เรื่อง คือ
- ใช้ส่วนผสมที่สดที่สุด (Freshest Cosmetics) ยิ่งสดเท่าไหร่ ก็จะยิ่งได้รับประโยชน์ต่อผิวมากขึ้น
- ไม่ทดลองผลิตภัณฑ์กับน้องสัตว์ (Fighting Animal Testing)
- ซื้อขายแลกเปลี่ยนวัตถุดิบอย่างเป็นธรรม (Ethical Buying)
- ผลิตภัณฑ์ 100% เป็นมังสวิรัติ (100% Vegetarian) และประมาณ 94% เป็นวีแกน (Vegan)
- ทำผลิตภัณฑ์ด้วยมือ (Handmade) ให้ความสดใหม่ และใช้สารกันเสียจากธรรมชาติ
- ผลิตภัณฑ์ที่ไร้บรรจุภัณฑ์ (Naked Packaging) เป็นการลดปริมาณพลาสติกและขยะ
LUSH ยังมีความเชื่อว่า การทำธุรกิจที่ยึดแนวคิดในแบบฉบับของ LUSH จะส่งผลเชิงบวกในทุกๆ ด้านที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับแบรนด์ ตั้งแต่การเริ่มต้นกระบวนการต่างๆ จนถึงกระบวนการสุดท้าย จะก่อให้เกิดเป็นความยั่งยืน และการส่งต่อสิ่งดีๆ ต่อไปให้กับผู้บริโภคแบบไม่รู้จบ ซึ่งนอกจากกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์และผลลัพธ์จากการใช้ผลิตภัณฑ์แล้ว เรายังมีความชัดเจนในเรื่องของจริยธรรม หรือ Brand Values ที่ทำให้เรามีเอกลักษณ์ของแบรนด์ที่ชัดเจน สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้ LUSH มีความโดดเด่นและแตกต่างจากแบรนด์อื่น ๆ LUSH จึงสามารถครองใจคนทั่วโลกมาอย่างยาวนานด้วยความเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ นอกจากนี้ยังมีในเรื่องของ “คุณค่า” และ “โอกาส” ที่มีอยู่ในตัวเราทุกคนและเป็นสิ่งที่ทุกคนสมควรได้รับอย่างเท่าเทียม
จุดมุ่งหมายของ LUSH ประเทศไทยและ LUSH ทั่วโลก คือการทำให้โลกของเราเขียวขึ้นมากกว่าที่เป็น เนื่องจากแนวคิดที่ว่า “Leaving the world Lusher than we found it” เพราะเรามีความกังวลและใส่ใจในเรื่องของสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงสวัสดิภาพของมนุษย์และสวัสดิภาพของน้องสัตว์ ทำให้ในปัจจุบัน เรามีการร่วมงานกับแบรนด์อื่นๆ มากขึ้น เพราะเราต้องการที่จะให้ผู้บริโภคจากกลุ่มอื่นๆ ได้รู้จักแบรนด์ของเรา และภารกิจที่เรากำลังทำเพื่อโลกใบนี้ การร่วม Collaboration กับแบรนด์อื่นๆ จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผู้บริโภคของแบรนด์นั้น เล็งเห็นถึงวัตถุประสงค์ในการทำงานร่วมกันของทั้งสองแบรนด์ อย่าง แอนนิเมชั่นชื่อดังจากญี่ปุ่น ONE PIECE และแอนนิเมชั่นที่สร้างจากตำนานเกมส์ที่ได้รับความนิยมจากทั่วโลกอย่าง The Super Mario Bro. Movie ที่ผ่าน ก็มาได้รับเสียงตอบรับและความนิยมอย่างล้นหลามจาก ลัชชี่ ชาวไทย และ ลัชชี่ทั่วโลก
นี่คือเหตุผลที่ LUSH ต้องการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าแบรนด์อื่นๆ เพื่อที่จะแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการลดการใช้พลาสติก การใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติ การไม่ทดลองผลิตภัณฑ์กับสัตว์ รวมถึงจริยธรรมอื่นๆ อีกมากมายที่ LUSH เชื่อมั่น เพราะอยากเห็นโลกของเราเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
นอกจากนี้ LUSH ประเทศไทยเอง ยังมีการทำงานร่วมกับองค์กรในท้องถิ่น นักเคลื่อนไหวในเรื่องของธรรมชาติ สวัสดิภาพของมนุษย์และสวัสดิภาพของน้องสัตว์อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นคุณวิลาวัณย์ ปานยัง (เจ้าของเพจ Environman) คุณแทนทะเล (เจ้าของเพจ Tanntalay) มูลนิธิของขวัญแห่งความสุข (Gift of Happiness Foundation) มูลนิธิเพื่อนสัตว์ป่า (Wildlife Friends Foundation Thailand) และอื่นๆ อีกมากมาย รวมไปถึงในอนาคตก็จะมีการร่วม Collaboration กับแบรนด์ที่มีชื่อเสียงอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อขยายกลุ่มลูกค้า และภารกิจของแบรนด์ต่อไป อีกทั้งยังได้รับความสนุกไปกับการใช้ผลิตภัณฑ์ในแต่ละคอลเลคชั่นอีกด้วย
“พนักงานของ LUSH ส่วนมากเป็นผู้ที่ให้ความสนใจในเรื่องของสิ่งแวดล้อม ความเท่าเทียมของมนุษย์และสัตว์กันอยู่แล้ว ทำให้ในการทำงาน เรามักคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้มาเป็นอันดับแรกๆ ไม่ว่าเราจะทำอะไร นั่นส่งผลให้ทุกอย่างที่เราลงมือทำ เราจะคำนึงถึงผลกระทบต่อโลกของเราก่อนเสมอ ทำให้สิ่งนี้กลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างจากกลุ่มลูกค้า และพูดต่อๆ กัน รวมถึงเราไม่มีการทำการตลาดด้วยการจ้าง เพราะเราเชื่อว่า การตลาดแบบออแกนิกส์จะส่งผลดีมากกว่า ทั้งกับตัวลูกค้าเองรวมไปถึงแบรนด์อีกด้วย” – นายฉัตรตฤณ บุญรัตน์ ผู้จัดการฝ่ายการประชาสัมพันธ์ โซเชียลมีเดีย และอีเวนท์ กล่าว
ที่ผ่านมา LUSH ได้ให้ความสำคัญต่อการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข และเท่าเทียม จึงได้มีการระดมเงินบริจาคให้กับองค์กรการกุศลขนาดเล็ก, โครงการดีๆ ที่เป็นประโยชน์ ผ่านผลิตภัณฑ์ Charity Pot ที่นำเงินรายได้ (เมื่อหักภาษีแล้ว) มอบให้กับองค์กรการกุศลในการคุ้มครองสัตว์ สิทธิมนุษยชน และสิ่งแวดล้อม ซึ่งในประเทศไทย นอกจากการที่ LUSH ได้เคยชักชวนองค์กรการกุศลมาประชาสัมพันธ์องค์กรของตัวเองภายในพื้นที่ร้านของLUSH แล้ว LUSH ยังได้มีการบริจาคเงินให้กับมูลนิธิ Gift of Happiness ซึ่งเป็นองค์กรการกุศล ที่ช่วยเหลือเด็กยากจนผ่านการให้รอยยิ้มสำหรับผู้บริสุทธิ์ที่ตกเป็นเหยื่อทางความรุนแรงต่างๆ
และนอกจากนี้ ในปัจจุบัน LUSH ยังได้ทำงานร่วมกับ Wildlife Friends Foundation Thailand ในการให้ความช่วยเหลือสัตว์จากสวนสัตว์ที่ปิดตัวลง โดยที่ผ่านมา LUSH ได้นำเงินบริจาคไปช่วยเหลือเสือมาได้ 1 ตัว ทางมูลนิธิจะหาสถานที่พักอาศัยให้เหมาะสมกับเสือที่คุ้นชินกับการเลี้ยงดูด้วยมนุษย์มาก่อน เพื่อให้มั่นใจว่าเสือจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวเอง แล้วหลังจากนั้นจึงค่อยประเมินว่าควรจะอยู่กับมนุษย์ต่อไปหรือจะสามารถกลับเข้าสู่ผืนป่าได้ จะเห็นได้ว่าการช่วยสนับสนุนองค์กรการกุศลต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นสิ่งที่ LUSH ตระหนักและให้ความสำคัญมาโดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
จะเห็นว่า ทั้งหมดที่ LUSH ทำ สิ่งสำคัญ ไม่ใช่กำไรที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจ แต่คือการนำกำไรนั้นมาต่อยอดและเพิ่มคุณค่า เพื่อช่วยโลก ช่วยธรรมชาติ รวมถึงช่วยสร้างโอกาสให้มนุษย์ด้วยกันเอง ซึ่งถือเป็นการตอกย้ำจุดยืนในการเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้โลกน่าอยู่ขึ้นอีกด้วย ภายใต้ความเชื่อ “A LUSH LIFE, WE BELIEVE…”
ลัช ประเทศไทย ดำเนินการมาแล้วกว่า 7 ปี ซึ่งในปัจจุบันมีทั้งหมด 8 สาขาใหญ่ และ 1 สาขาป๊อปอัพ และในอนาคตอันใกล้นี้ LUSH ประเทศไทย ยังมีแผนการในการขยายสาขาให้มากขึ้นตามเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ว่า ผลิตภัณฑ์ของ LUSH นั้นจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าในหมวดหมู่ของเครื่องสำอางได้มากที่สุดในหลาย ๆ มิติ เพราะนอกจากการที่เราสร้างการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางแล้ว เรายังอยากให้ผู้บริโภคได้ตระหนักถึงปรัชญาและความเชื่อมั่นของแบรนด์อีกด้วย